วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

บ้านต้นศิลป์



  บ้านต้นศิลป์ และ ต้นศิลป์ สตูดิโอ

บ้านของคุณโหน่ง หรืออาจารย์ชาตรี ลดาลิตสกุล  บ้านที่แฝงไปด้วยกลิ่นไอของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น สอดแทรกผ่านวัสดุที่เป็นไม้และวิถีการใช้ชีวิต สงบ เรียบง่าย ตรงไปตรง   บ้านหลังนี้เใช้วัสดุหลักๆคือ คอนกรีตและไม้เก่า ให้อารมณ์ ทั้งความโมเดิร์นและพื้นถิ่นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ชั้น ๑

เป็นส่วนที่เรารู้สึกชอบมากที่สุด เพราะเป็นส่วนรับแขก น่านั่ง มีลักษณะคล้ายโถง หรือใต้ถุนบ้านกว้างประมาณ ๑๐ เมตร ลมพัดเข้าทั้งสองด้าน พื้นที่ห้องโถงนี้เป็นพื้นที่ที่เรารู้สึกว่าเป็น “ใจของบ้าน “ เพราะเป็นพื้นที่ที่เชื่อมต่อระหว่าง ภายในอาคาร เป็นพื้นที่ Grey scale ตามที่อาจารย์ชาตรีได้กล่าวไว้คือ เป็นพื้นที่ระหว่าง สาธารณะและส่วนตัว    โถงนี้เป็นพื้นที่ที่ป้องกันภายในแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปฎิเสธภายนอก และธรรมชาติ เพราะเป็นพื้นที่ที่ผู้ปกครองจะเข้ามานั่งรอลูกเรียนดนตรี มีกรอบรูปเป็นต้นหางนกยูงหน้าบ้าน  








บ่อน้ำล้นที่สร้างขึ้นมีส่วนช่วยในการที่ให้เวลาที่ลมพัดเข้ามาจะพาความเย็นของไอน้ำเข้ามาในโถง นอกเหนือจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว อาจารย์ชาตรียังได้บอกว่า การสร้างบ่อน้ำล้นนี้ถือเป็นกุศโลบายที่ทำงานร่วมกับจิตใจก่อให้เกิดความสงบขึ้น






ห้องครัวมีอยู่สองส่วนด้วยกัน คือเป็นส่วนครัวไทยจะอยู่ด้านนอกสำหรับประกอบอาหาร ส่วนครัวเล็ก (pantry)ไว้เพื่อเป็นห้องรับประทานอาหาร และทำอาหารเล็กๆน้อยๆ เช่น ชงกาแฟ อุ่นอาหาร  มีการเชื่อมต่อพื้นที่ทั้งการเดินเข้าถึงและการมองเห็นกันผ่านหน้าต่าง




ชั้น ๒

เป็นส่วนของ ต้นศิลป์   สตูดิโอ ซึ่งเป็นพื้นที่ทำงานของอาจารย์ชาตรี  เป็นห้องกว้างๆที่เป็นกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพื่อให้เวลาที่มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่สีเขียว ด้านหน้าจะเป็นกระจกใสทั้งแถบ ไม่มีขอบกั้น ทำให้สามารถมองเห็นต้นหางนกยูงที่ปลูกไว้หน้าบ้าน ถ้าต้องการที่จะเคลียร์วิวจะใช้ขากระทุ้งช่องระบายลมด้านล่างกระจก  ถัดไปเป็นห้องนอนของอาจารย์และลูก มีห้องน้ำอยู่เชื่อมกันด้านหลัง ตรงบริเวณห้องน้ำ เนื่องจากห้องของลูกลมเข้าไม่ถึง อาจทำให้เกิดความอับ จึงทำเป็นระแนงไม้ซึ่งทำให้เกิดการถ่ายเทอากาศภายในห้องด้านหลังได้











ชั้น ๓
ส่วนของห้องโถงกว้างๆ เป็นห้องที่มีความสงบ นิ่งๆ โล่ง ๆ มีโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือ วาดรูป อยู่หนึ่งตัว ความมหัศจรรย์ของบ้านหลังนี้ที่ทำให้ออกมาให้อารมณ์ของความสงบ นิ่ง  เพราะการออกนั้นไม่ได้ออกแบบความสงบแต่ออกแบบความงามของความสงบ.







จากการที่ได้ไปดูบ้านต้นศิลป์ทำให้เข้าใจถึงการเลือกใช้วัสดุ อารมณ์ของวัสดุ เช่น  การเลือกใช้ผนังคอนกรีตเพื่อให้เกิดอารมณ์เมื่อเวลาที่เงาของต้นไม้พาดทับลงมา เส้นขอบของเงาทำหน้าที่ร่วมกับพนังคอนกรีตเกิดอารมณ์ที่ดูนุ่มนวล ถ้าหากอาจารย์เลือกใช้วัสดุที่ต่างออกไปก็จะให้ความรู้สึกได้ไม่ตรงกับที่ตั้งใจไว้
         การเลือกความหน้าของไม้เป็นฉากกั้นกอนเดินเข้าห้องน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ต้องการถูกรบกวน ไม่ต้องการการมองเห็นหรือรับรู้จากภายนอก อาจารย์ได้เลือกใช้ความหนาไม้ที่ส่งผลต่อมุมมอง ทำให้ห้องนำมีความโปร่ง ไม่ต้องเป็นผนังทั้งทึบ เพราะความหนาของไม้และระดับสายตาที่มองผ่านทำให้ไม่สามารถมองเห็นภายในห้องน้ำได้  การที่จะสามารถเลือกวัสดุได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะให้เกิดผล ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัส ด้วย
.












SENSORY

SENSORY


ส่วนที่สนใจและรู้สึกในพื้นที่รุ่งอรุณ

๑. บริเวณทางเดินก่อนถึงโรงช้าง -  รู้สึกเป็นห้องรับแขกของโรงเรียน มีวิวที่สวยงาม เหมือนรุ่งอรุณ(ไม่แน่ใจว่าเพราะเป็นform รูปแบบอาคารแบบไทยๆ) ข้อเสียคือมีรถตู้เข้ามาจอด ทำให้มองเห็นโรงช้างได้ไม่ชัดเจน




 ๒.ทางเดินสะพานตรงตึกอนุบาล - เข้ามาที่โรงช้าง รู้สึกมีแนวแกนสำคัญที่เกี่ยวกับศาสนาแรงมากเพราะมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ในแนวเดียวกันกับสะพาน




๓.บริเวณชานข้างพระพุทธรูป - เพราะเป็นส่วนที่สามารถมองบึงได้ชัดเจน น่านั่ง เพราะมีร่มไม้ตัวสะพานเชื้อเชิญให้เข้ามา





๔.บริเวณทางเดินริมน้ำ – เป็นส่วนที่รับรู้ถึงพลังของธรรมชาติ การโอบล้อมอาคารของทั้งต้นไม้และบึง มีการซ่อนมุม ซึ่งจะได้เหมือนเป็นภาพ ๓ ฉาก เรือนธรรม - เกาะกลาง - อาคารรับอรุณ ถ้าเดินไปเรือนธรรมและหันหลังกลับมาจะเจออาคารรับอรุณที่ต้นไม้ยอมแหวกออกให้เพียงเล็กน้อย






วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Case study: MLC (Mahidol Learning Center)

MLC: Mahidol Learning Center

มหาวิทยาลัยที่สร้างศูนย์การเรียนรู้ควบคู่ไปกับจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ และหล่อหลอมผู้คนให้กลายเป็นชาวมหิดลผ่านสถาปัตยกรรมแห่งนี้   จากเป้าหมายทั้ง ๔อย่าง
๑.สถาปัตยกรรมแห่งความทรงจำ หล่อมหลอมให้นักศึกษาเป็นชาวมหิดล
๒.
Sense of place
๓. Group learning
๔. Tropical Architecture

อาคารนี้มีแนวแกนที่เป็นความสำคัญต่ออาคารอย่างมาก ๒ แกนด้วยกันคือ 

    ๑.แกน meaning  ซึ่งเป็นแนวแกนที่ให้ความสำคัญของความหมาย ประวัติของมหิดล แนวแกนที่สามารถเห็นประติมากรรมที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของมหิดลคือ รูปปั้นพระบิดา และ รูปประติมากรรมดอกกันภัยซึ่งเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย เมื่อคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณนี้ก็จะซึบซับสัญลักษณ์นี้ไปด้วย




   ๒.resident & academic เป็นแกนสำคัญที่ทำให้พื้นที่นี้มีชีวิต เพราะนักศึกษาจะต้องเดินผ่านทางนี้เพื่อไปยังตึกเรียน อีกทั้งยังมี service คอยบริการอยู่ด้วย ทำให้พื้นที่ตรงนี้มีการใช้งานอยู่เสมอ




    พื้นที่ทั้งหมดเอื้อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่าง คน-ธรรมชาติ คน-คน คน-พื้นที่ภายนอก และ การเรียนรู้แบบร่วมกัน (Group learning) คือ ลานขนาดใหญ่ให้คนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน พื้นที่ที่นั่งอยู่ด้านนอกมีความสัมพันธ์กันในแนวนอน ทั้งสองตึกสามารถมองเห็นถึงกันได้ ไม่มีพื้นหรือชายคาของอีกฝั่งมาปิด มีความโปร่งเกิดขึ้นให้อากาศเข้าไปทำงานร่วมกับอาคาร









อาคารมี pocket space ที่เหมาะกับการทำงานเป็นกลุ่ม



 อาคารที่สัมพันธ์กันกับธรรมชาติ





 นำเอาแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคาร




   สิ่งที่สนใจคือการที่ มีcourt หลายแห่ง แต่มีวิธีแบ่งกันออกอย่างไม่รบกวนกัน โดยการให้ฟังก์ชั่นที่เอื้อให้เกิดการใช้งานที่มีเสียงดัง คือโรงอาหาร ซึ่งหันเข้าหาลานใหญ่กลางแจ้ง ส่วนลานรูปปั้นก็จะอยู่ถัดออกไปแต่ให้ความรู้สึกที่ไม่อยากเข้าไปรบกวนคือ บริเวณนั้นมีลักษณะเป็น Amphitheatre  ลานที่ไม่มีปัจจัยที่เอื้อต่อการใช้งาน มีลักษณะเป็น Court โล่ง

Court กิจกกรรม เป็นลานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีservice ที่ทำให้เกิดกิจกรรมเสียงอยู่บริเวณนี้ เหมาะสำหรับทำกิจกรรมที่มีเสียงดัง



Courtกิจกรรมภายในอาคาร ซึ่งให้ความสงบขึ้นมาจาก Court กิจกกรรม เพราะมีการแบ่งพื้นที่ด้วยอาคารก่อนหนึ่งชั้น ภายในมีลักษณะเป็นทางเดินมากกว่าจะเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมที่ชัดเจนเหมือน Court นอก เพราะตรงกับแกนresident & academic  และเนื่องจากเป็นศูนย์การเรียนรู้ทำให้ผู้ใช้งานมีการรับรู้ถึงสิ่งที่ควรปฎิบัติภายในอาคารด้วย








การที่ได้มาดูกรณีศึกษาที่นี่ ทำให้เห็นถึงความสำคัญในการให้น้ำหนักกับความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ และคำนึงถึงบริบทให้มาก เนื่องจากทางทีมออกแบบได้ศึกษาความสัมพันธ์ของพื้นที่ร่วมไปกับเป้าหมาย ทำให้เกิดแนวแกนที่จะมีผลต่อการสร้างสถาปัตยกรรมก่อนไป การที่เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนในการออกแบบตั้งแต่แรกนั้น ก็จะทำให้รามีแบบที่ชัดเจนตามไปด้วย แม้จะมีการพัฒนาแบบไปเรื่อยๆหรือ มีการออกแบบเพิ่มขึ้นมาอีก  ก็จะไม่หลุด Concept ของงานที่ตั้งไว้เพราะมีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นข้อตกลงร่วมกันแล้ว 



วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ครุสติสถานและบ้านคุณพงศกร

ครุสติสถาน  สถานที่ปฏิบัติธรรม
ก่อนที่จะเดินทางไปชมครุสติสถานนั้น เราได้ตั้งเป้าหมายถึงสิ่งที่อยากจะไปดู โดยแยกเป็นเป็น ๒ เรื่อง คือ
 ๑ อยากจะได้อะไรจากการไปดู
 ๒ เพื่อที่จะให้ได้ผลลัพธ์จะต้องทำอย่างไร
ซึ่งเราได้ทำการกำหนดถึงสิ่งที่เราได้ไปดูดังนี้
๑ การแบ่งสัดส่วนของพื้นที่โดยใช้
mass ให้น้อยที่สุด แต่รับรู้ถึงการแบ่งพื้นที่
๒ ลักษณะอาคารที่เล็ก ใหญ่ เล็กอย่างไรให้ดูกว้าง ใหญ่อย่างไรให้ดูไม่ทึบ ดูโปร่ง โล่ง สบาย
๓ แสง ปริมาณของแสงที่ต้องการแต่ละพื้นที่ การจัดการให้ให้แสงเข้ามาก
-น้อย อย่างไร
และสิ่งที่ทำให้ได้มานั้นนั้นคือ การเขียนแปลน สังเกต และใช้ความรู้สึกของตัวเองจับความรู้สึกของสถาปัตยกรรม

  ๑ การแบ่งสัดส่วนของพื้นที่โดยใช้ mass ให้น้อยที่สุด แต่รับรู้ถึงการแบ่งพื้นที่

Diagram circulation
 มีการใช้เส้นทางเป็นการแบ่งพื้นที่ มีต้นไม้พุ่มที่เอาไว้กั้นแต่ละพื้นที่เอาไว้ เช่น ใช้ทางเป็นเป็นตัวแบ่งกิจกรรมของแต่ละพื้นที่ และเมื่อเข้าไปในบริเวณนั้นก็จะแบ่งพื้นที่ย่อยๆโดยใช้ต้นไม้ในการแบ่งอีกชั้นนึง เห็ฯได้จากบ้านพัก ซึ่งส่วนนึงที่ใช้ไม้พุ่มอาจเกิดจากการกั้นเสียง





 ๒ ลักษณะอาคารที่เล็ก ใหญ่ เล็กอย่างไรให้ดูกว้าง ใหญ่อย่างไรให้ดูไม่ทึบ ดูโปร่ง โล่ง สบาย

อาคารที่ใหญ่ตรงบริเวณสถานปฏิบัติธรรม ใช้การเปิดใต้ถุงโล่ง และสามารถมองเห็นสวนที่อยู่ด้านหลัง ทำให้ไม่อึดอัด ชั้นสองเป็นประตูบานเฟี้ยม เมื่อทุกบานถูกเปิดหมดก็จะให้ความรู้สึกที่ไม่ทึบตัน
อาคารเล็ก ใช้กระจกทีสามารถองทะลุเข้าออกได้ แม้ว่าความจะประมาณ ๒ เมตร ก็ไม่เกิดความรู้สึกแคบ ช่องเปิดเยอะ มีพื้ที่โล่งๆในห้องเพื่อทำกิจกรรม แยกทางทางเดินไว้ด้านข้าง







๓ แสง ปริมาณของแสงที่ต้องการแต่ละพื้นที่ การจัดการให้ให้แสงเข้ามาก-น้อย อย่างไร
ที่เห็นชัดที่สุดคือ ตรงบริเวณเดินจงกรม มี ซุ้มไม้โค้งเพื่อกันแดด ให้แสงเข้ามาได้เล็กน้อยแต่ไม่ร้อนจนเกิดไป









   บ้านคุณพงศกร (พี่ปาล์ม)
เป็นบ้านขนาดเล็ก ๒ ชั้น ที่สร้างขึ้นจากข้อกำหนดทั้งหมด เช่น พื้นที่ ทิศทางของแดด ลม แต่ละพื้นที่มีความตั้งใจที่จะสื่อออกมาผ่านสถาปัตยกรรม


   ผัง



พื้นที่ภายในบ้านนั้นไหลลื่นมาก แต่ก็ยังมีขอบเขตที่ชัดเจนว่า ห้องนี้คือห้องอะไร ทุกพื้นที่เดินเข้าถึงได้หมด





ประตูบ้านที่เหมือนว่าไม่สามารถปกปิดความเปลือยของบ้านได้ แต่ว่าก็รู้สึกถึงความส่วนตัวมากเพราะประตูบานปิดส่วนที่เป็นพื้นที่นั่งเล่น และเป็นมุมอับที่ไม่สามารถให้คนภายนอกเห็นเข้ามาในบ้านหรือในห้องนอนได้ ซึ่งเป้ฯการวางทางเข้าบ้านที่ทึบแต่ดูโปร่งได้อย่างมีเหตุผลมาก



ส่วนที่เราชอบที่สุดคงไม่พ้นห้องน้ำที่เปิดโล่ง ข้างในไม่ได้รู้สึกว่าเป็นห้องชำระล้างร่ายกาย อบน้ำอย่างเดียว แต่เป็นห้องที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่ต่างจากห้องนอนเลย เราแค่นอนในอ่างโดยที่ไม่มีน้ำตอนช่วงเวลาบ่ายแก่ๆเราก็รู้สึกผ่อนคลายเหมือนนอนในโซฟา อยากจะลองอาบน้ำและแช่ตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นแห่งนี้นานๆ  







การที่เราได้เข้ามาสัมผัสบ้านนี้ทำให้เรารู้สึกว่าสถาปนิกหลงใหลและรักบ้านของตัวเองมาก  ทุกที่ที่อยู่ในบ้านคือการพักผ่อน ไม่มีอะไรที่หวือหวา สงบ เรียบง่าย และเข้าใจได้ง่ายอย่างแท้จริง