วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

สถาปัตยกรรมเขตร้อนชื้น

บ้านไทย-โมเดิร์น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร และถูกจัดการให้อยู่ในภาวะน่าสบายสำหรับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น การออกแบบที่ไม่ได้คำนึงถึงความล้าสมัยที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้าว่าบ้านหลังนี้อาจจะดู เก่าเกินไป ไม่สวย คิดเพียงแค่หลักปรัชญาที่ออกมาตามวัสดุ และโครงสร้าง  การบอกเล่าถึงอารมณ์ของบ้านผ่านการเดิน ตามที่เจ้าของบ้านได้เป็นผู้ออกแบบประสบการณ์ ให้แก่ผู้มาเยือน “บ้านตะวันออก” แห่งนี้.








           บ้านไทยที่ไม่ไทย เราไม่ได้เห็นว่าบ้านหลังนี้มี เหงา ปั้นลม แต่กลิ่นอายความเป็นไทยยังคงอบอวลอยู่ภายในบ้านเนื่องจากการถอดเอาความเป็นบ้านเรือนไทยส่วนที่เรารู้สึกได้คือ การยกใต้ถุนสูง เพื่อที่จะป้องกันเรื่องความชื้นและเป็นงานระบบ  การใช้โครงสร้างแบบบ้านเรือนไทยแต่เปลี่ยนวัสดุเป็นไม้ เหล็ก ปูน วัสดุธรรมชาติ วัสดุพื้นถิ่น การถอดเอาวิถีบ้านเรือนไทยคือชานสำหรับใช้รับแขก จะสังเกตได้ว่าทุกการเชื่อมต่อของอาคารจะเป็นทางเดินที่มีขนาดใหญ่คล้ายชานเพื่อสร้างปฎิสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เพียงการเดินผ่าน (รู้สึกว่าส่วนนี้ค่อนข้างคล้ายกับอาศรมศิลป์) หรือส่วนที่เป็นเรือนรับแขกที่ภายในมีพื้นที่กว้างแต่ก็ยังมีชานยื่นออกมาด้านข้างด้วย.



ระหว่างทางเดินขึ้นสามารถมองเห็นพื้นที่ที่เราผ่านมาได้ เกิดความสัมพัมพันธ์ทั้งการมองขึ้นและ
การมองลง



จากที่ดูแล้วบ้านหลังนี้ไม่ใช่ Human scale คือไม่ใช่สัดส่วนที่เป็นมนุษย์ ตัวบ้านค่อนข้างที่จะกว้างและสูงมาก ทำให้เรารู้สึกว่าบ้านนี้ไม่ใช้ของเรา แต่เมื่อชั้นสองของบ้าน ชานของชั้นสองที่ยื่นออกมาจนเราสามารถสัมผัสกับหลังคาได้ ทำให้เกิดมิติทางความรู้สึกแบบใหม่ขึ้นมาว่า เราสามารถสัมผัสกับส่วนที่สูงที่สุดของบ้าน และได้เห็นภาพรวมของบ้านทั้งหมดจากห้องนอนเป็นส่วนที่สูงพอจะเห็นบ้านทั้งหลังได้   ซึ่งเกิดความรู้สึกว่า ”บ้านนี้เป็นของฉันเพราะ ฉันจับต้องได้”.






ปฏิสัมพันธ์ของพื้นที่-พื้นที่ มนุษย์-มนุษย์ ธรรมชาติ-สถาปัตยกรรม มนุษย์-ธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ของพื้นที่หนึ่งไปอีกพื้นที่หนึ่งโดยเชื่อมต่อจากการมองเห็น  การที่พุ่มของต้นจามจุรีแตะลงบนหลังคาของเรือนรับแขกทำให้รู้สึกว่าธรรมชาติเป็นสิ่งเดียวกับบ้าน และบ้านก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ


การใช้ circulation เพื่อให้เกิดประสบการณ์ในการมองที่แตกต่างกันโดยความตั้งใจสถาปนิกที่พาเราเดินไป ทำให้รู้สึกว่าไม่เบื่อที่จะต้องเดินรอบบ้านหลายๆรอบ กลับรู้สึกว่าได้มาอยู่ในที่ที่อบอุ่น พอดีกับเรา สบายกาย สบายใจ อยู่แล้วสงบ บ้านที่เล่าความงามด้วยตัวเอง จึงเป็นสาเหตุที่ว่า
How to build  ไม่สำคัญเท่ากับ Why to build   จะสร้างบ้านไปทำไมในเมื่ออยู่แล้วไม่สบาย ? 

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

Show & Share ประเด็นที่สนใจ




      กิจกรรม Show & Share
เป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์มากๆ ทำให้นักศึกษาได้เห็นถึงงานที่ต้องก่อสร้างจริงๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น อาจส่งผลถึงการหยุดการก่อสร้าง เราได้เข้าใจบทบาทของสถาปนิกมากจริงๆ เพราะที่สถาบันอาศรมศิลป์มีหลายสตูดิโอ ซึ่งงานก็จะแตกต่างกันออกไป แต่ที่เราได้รับประโยชน์จากกิจกรรมนี้คือ เป็นแนวทางในการออกแบบที่เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการคิด เช่น คิดถึงพื้นที่ที่สามารถเอื้อต่อการเรียนรู้ พื้นที่ที่เป็นทางการแต่เอื้อให้แก่บุคคลทั่วไป  การกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นที่เป็นอุดมการณ์ของเราออกไปอย่างกล้าหาญ รู้สึกว่าได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากลุงแบนเยอะมาก เพราะลุงแบนเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมมาก คิดเผื่อไปถึงผู้ใช้งาน  ความรู้สึกที่สถาปัตยกรรมเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความรู้สึกของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดว่าเราได้ประโยชน์จากการเข้าร่วมกิจกรรม Show & Share เป็นอย่างมาก

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559




Case study: Warren cottage extension and renovation / McGarry-Moon Architects
http://www.archdaily.com/794162/warren-cottage-extension-and-renovation-mcgarry-moon-architects









Case study: Belavali House / Studio Mumbai
http://www.archdaily.com/224819/belavali-house-studio-mumbai?ad_medium=widget&ad_name=recommendation



ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโครงการประเด็นที่ ๑: ประเด็นเรื่องความโปร่ง โล่ง สบาย
          จากบริเวณเดิมที่เป็นร้านขายอาหาร และร้านหนังสือ มีปัญหาเรื่องความทึบความต้องการที่จะใช้แสงธรรมชาติแต่ว่าไม่สอดคล้องต่อสภาพภูมิอากาศเช่น เมื่อถึงฤดูฝน ฝนสาดเข้าร้านจึงต้องใช้ผ้าใบในการกันฝน ร้านหนังสือไม่สามารถที่จะกรองคนเข้า-ออก หรือคนที่เข้ามานั่งในร้านได้เพราะมีฉากกั้นบางส่วนบังสายตา ร้านขายอาหารและร้านหนังสือเล็ก แคบไม่รองรับแก่จำนวนผู้เข้าใช้ เนื่องจากอยู่ใกล้ ดิน ต้นไม้ทำให้มีความทึบและชื้นส่งผลต่อการเก็บรักษาหนังสือ ทางเดินไม่กันฝน ผู้ใช้งานต้องการที่จะทำให้อาคารนี้แสดงลักษณ์ของโรงเรียนรุ่งอรุณที่โปร่ง โล่ง สบาย ไม่เป็นอาคารใหญ่ที่ทึบ บดบังทัศนียภาพที่เป็นคูน้ำและต้นไม้เดิม จาก
case study ที่เลือกมานั้นมีลักษณะทางกายภาพที่ไม่แบ่งแยกภายในภายนอกอย่างชัดเจนมีการรับรู้พื้นที่ภายนอกผ่านประสาทตา แม้ว่าผู้ใช้งานต้องการอาคารที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่าเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บสินค้าแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าทึบเพราะมีการมองเห็นทะลุทั้งสองด้าน ไม่บังทัศนียภาพ ห้องภายในสามารถมองเห็นภายนอก และมีบางมุมที่ไม่ได้โปรงใสเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้ดูแลที่ต้องการความสงบ
          ในแบบที่ ๑
Warren cottage extension and renovation นั้น ตัวอาคารเป็นชั้นเดียว(ในส่วนพื้นที่ที่เลือกมา) ลักษณะภายนอกโปร่งเป็นกระจกเกือบทั้งหมดแต่มีบางพื้นที่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวจึงเป็นผนังทึบเช่น อาจเป็นห้องสำหรับเก็บของ ตัวอาคารมีขนาดเล็กเป็นคล้ายๆกับmodule ทำให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ต้องเป็นอาคารใหญ่ที่ติดกับเป็นแถบ เนื่องจากอาคารเป็นกระจกจึงไม่มีปัญหาเรื่องการรับแสง ผนังที่เป็นระแนงไม้ช่วยลดทอดความแข็งของตัวอาคาร อาจจะใช้ไม้เลื้อยเพื่อเป็นการบังตัวอาคาร ทำให้ไม่ต้องปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อบังอาคารจากการมองระยะไกล เพราะการที่ปลูกต้นไม้ใหญ่มากเกินไปทำให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ไม่สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ชัดเจนเนื่องจากโดนต้นไม้บังไว้ ทางเดินที่เป็นระแนงไม้นั้นอาจจะไม่สามารถกันฝนได้ดีนักแต่สามารถนำไม้เลื้อยมาประยุกต์ใช้ แทนการที่จะสร้างหลังคาขนาดใหญ่มากันฝนทั้งนี้ยังช่วยในเรื่องความกลมกลืนความเป็นธรรมชาติซึ่งตอบโจทย์กับโรงเรียนรุ่งอรุณว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่เหนือธรรมชาติ หลังคากันฝนนี้จึงไม่ได้ออกแบบมาเพื่อกันฝนได้อย่างดีเยี่ยม
          แบบที่ ๒
Belavali House ที่เลือกมานั้นเพราะการใช้materialที่คล้ายคลึงกับโรงเรียนรุ่งอรุณเนื่องจากใช้ไม้เหมือนกัน ตัวกระจกสามารถเปิดได้เป็นบานกระทุ้งจึงไม่มีปัญหาเรื่องการระบายอากาศ พื้นที่ภายในโล่งกว้างทุกจุดสามารถมองเห็นถึงกันทั้งมองจากภายในถึงภายนอกและภายนอกเข้าหาภายใน ทำให้แม้อยู่ภายในตัวอาคารก็รับรู้ได้ถึงอารมณ์ของธรรมชาติด้านนอกได้







Case study: Share house LT Josai / Naruse inokuma Architects

https://www.pinterest.com/425801339746425993/






Case study: Europe experiment with co-housing
https://www.pinterest.com/pin/401453754264043134/


ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโครงการประเด็นที่ ๒: ประเด็นเรื่องพื้นที่ปฏิสัมพันธ์
   พื้นที่ปฏิสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นจำกัดพื้นที่ใหญ่ๆเช่น ลานกว้าง อาคารรับอรุณ พื้นที่ปฏิสัมพันธ์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่แม้เป็นทางเดินก็ตาม ปัจจุบันการที่ผู้ใช้งานในโรงเรียนรุ่งอรุณพบเจอกันระหว่างทาง เมื่อต้องการสนทนากันต้องหลบไปมุมด้านหนึ่งของตัวถนน หรือต้องเดินเข้าไปในสถานที่ที่เอื้อต่อการปฏิสัมพันธ์ ถ้ามีพื้นที่ที่สามารถเชื่อมต่อกับบริเวณอาคาร ไม่เป็นที่ทึบ เป็นเพียง
pocket space ที่แทรกอยู่ บริเวณบันไดสามารถพักเป็นจุดที่ผู้ใช้งานสามารถเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้โดยที่ไม่ขวางทางสัญจร ตัวลักษณะอาคารที่เลือกมาศึกษานั้นจะมีการจัดวางคล้ายกับ module ที่เป็นก้อนๆไม่ได้เรียงตัวเป็นแถวทำให้ เกิดความรู้สึกว่าอาคารนั้นใหญ่ ต้นไม้สามารถแทรกเข้าไปกับอาคาร และทำงานร่วมกับอาคารอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แนวคิดที่ได้จากการวิเคราะห์คือให้ Circulation ทำงานร่วมกับ pocket space เพื่อ เชื่อมต่อกับอาคารและให้ความกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยปกติแล้วโรงเรียนรุ่งอรุณจะมีขนาดของอาคารที่ใหญ่โตแต่เมื่อมองจากภายนอกจะไม่เห็นตัวอาคารเลยเพราะมีการปลูกต้นไม้เพื่อบังตัวอาคาร แต่การที่ปลูกต้นไม้มากเพื่อบดบังสายตาจากภายนอกทำให้ผู้ใช้งานที่อยู่ในสถานที่ไม่สามารถมองไปเห็นทัศนียภาพด้านนอกได้เนื่องจากความทึบของต้นไม้ การที่ลดทอดขนาดของอาคารทำให้ไม่จำเป็นจะต้องปลูกต้นไม้เพิ่มเพื่อปิดตัวอาคาร ทั้งนี้เพื่อทำให้เกิดพื้นที่ปฏิสัมพันธ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
*มีการปรับแต่งรูปเพื่อช่วยให้มองเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

คุณค่าของงาน: เป็นคุณค่าในเชิงรักษาอัตลักษณ์ของโรงเรียนรุ่งอรุณ ที่ให้ความสำคัญกับต้นไม้และบึง เป็นโรงเรียนที่มีทัศนียภาพที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ และอาคารที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม